การตรวจครรภ์ เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญทีควรทำเมื่อคุณผู้หญิงประจำเดือนมาไม่ปกติและมีแนวโน้มว่าอาจตั้งครรภ์ เนื่องจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจนจะช่วยให้สามารถรับมือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงการเริ่มดูแลตัวเองและลูกน้อยในกรณีที่ตั้งครรภ์ได้รวดเร็ว ส่งผลให้กระบวนการฝากครรภ์ และการวางแผนต่างๆ ในอนาคตเป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้นอีกด้วย
สำหรับใครที่สงสัยว่าอาการแบบไหนจึงเข้าข่ายว่า แพ้ท้อง ? ควรเริ่มตรวจครรภ์เมื่อไรจึงจะทราบว่าตั้งครรภ์ ? และเราสามารถตรวจครรภ์ได้ด้วยวิธีใดบ้าง ? เรามีคำตอบ
อาการแบบไหนที่คุณควรตรวจครรภ์
ก่อนคุณจะเริ่มทำการตรวจครรภ์ คุณอาจมีอาการบางอย่างเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณกำลังจะเป็นคุณแม่มือใหม่ อาการเหล่านี้เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปในร่างกายของผู้หญิง โดยคุณสามารถสังเกตได้จากอาการเบื้องต้นเหล่านี้
- ประจำเดือนขาดหาย หรือเมนส์ไม่มา คือสัญญาณเตือนอันดับแรกที่ผู้หญิงทุกคนควรสังเกต โดยอาการดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่การตั้งครรภ์ในเดือนแรกไปจนถึงช่วงให้นมบุตร
- คลื่นไส้อาเจียน ไวต่อกลิ่นและรสชาติต่างๆ จนรู้สึกพะอืดพะอม อาจเริ่มต้นหลังจาก 1 เดือนนับจากวันปฏิสนธิ
- คัดเต้านม เกิดจากภาวะที่เลือดในร่างกายไหลไปเลี้ยงบริเวณเต้านม เพื่อเตรียมตัวให้นมบุตร รวมถึงอาจมีขนาดใหญ่ คล้ำขึ้น และไวต่อความรู้สึกมากขึ้นได้อีกด้วย
- ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงจนเลือดไหลเวียนง่าย และไตทำงานหนักขึ้นเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย
- ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะฮอร์โมนภายในร่างกายทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง และมดลูกของผู้หญิงที่ขนาดใหญ่ขึ้นยังไปเบียดบังลำไส้ซึ่งเป็นหนึ่งในอวัยวะที่มีผลต่อการขับถ่ายอีกด้วย
- อารมณ์แปรปรวน เหนื่อยง่าย เพลีย จากการที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เราสามารถตรวจครรภ์ได้ตั้งแต่เมื่อไร ?
ถึงแม้ว่าการตรวจครรภ์จะมีผลที่ค่อนข้างแน่นอน แต่หากคุณตรวจครรภ์เร็วเกินไปก็อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ถูกต้องได้ โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับตรวจการตั้งครรภ์คือ หลังไข่ตกและมีเพศสัมพันธ์ 12-14 วัน เพราะเป็นช่วงที่ไข่เติบโตสมบูรณ์นั่นเอง
ค่า hCG คืออะไร ?
ค่า hCG หรือ Human Chorionic Gonadotropin คือฮอร์โมนที่เกิดขึ้นขณะผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์ โดยค่าดังกล่าวจะแสดงขึ้นหลังการปฏิสนธิ 6 วัน และสามารถบ่งบอกถึงสถานะของทารกเบื้องต้นได้ คือ
- มีค่า hCG สูง กำลังตั้งครรภ์
- มีค่า hCG อยู่ต่ำถึงต่ำมาก ไม่มีการตั้งครรภ์
- ค่า hCG ลดลง เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก
- ค่า hCG พุ่งสูงขึ้น เสี่ยงต่อภาวะตัวอ่อนไม่เจริญเติบโต
การตรวจครรภ์มีกี่วิธี ?
หากคุณมีอาการดังที่กล่าวไปข้างต้นและกำลังสงสัยว่าตนเองตั้งครรภ์หรือไม่ คุณสามารถตรวจการตั้งครรภ์ได้ด้วยวิธีที่หลากหลาย ทั้งทดสอบด้วยตนเอง หรือทดสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้
ตรวจปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะ คือวิธีการตรวจครรภ์ที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น เพราะสามารถทำได้ด้วยตนเองเพียงซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์ ที่ร้านขายยาหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยประเภทของชุดทดสอบแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่
- แบบจุ่ม (Test Strip) มีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษยาว มีขีดสำหรับบอกปริมาณการจุ่มสูงสุด และบริเวณอ่านผลทดสอบ ผู้ทดสอบต้องนำแผ่นกระดาษจุ่มลงปัสสาวะนาน 3 วินาที และรอผล 5 นาที
- แบบหยด (Pregnancy Test Cassette) ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่มาในรูปแบบของตลับพร้อมช่องหยดปัสสาวะและส่วนแสดงผลทดสอบ โดยการทดสอบด้วยปัสสาวะ 3-4 หยด และอ่านผลหลังจากทิ้งไว้ 5 นาที
- แบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests) ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่มีลักษณะคล้ายปากกา ผู้ทดสอบจำเป็นต้องถอดปลอกบริเวณปลายด้ามออก ถือ ปัสสาวะผ่านเป็นเวลา 30 วินาที และอ่านผลตรวจครรภ์หลังจากทิ้งไว้ 5 นาที
- แบบดิจิทัล (Digital Pregnancy Test) เป็นชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่สามารถบอกทั้งผลการทดสอบและอายุครรภ์ได้ ขึ้นอยู่กับแบรนด์และรุ่นต่างๆ มีรูปร่างและการใช้งานที่คล้ายคลึงกับชุดทดสอบการตั้งครรภ์แบบปัสสาวะผ่าน มีความแม่นยำสูง แต่มีราคาสูงกว่าชุดทดสอบประเภทอื่น
ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยเองทั้งแบบจุ่ม หยด และปัสสาวะผ่านเราสามารถอ่านผลการตั้งครรภ์ได้ผ่านจำนวนเส้นที่ปรากฏบริเวณแสดงผล หากมีแถบสีแดงขึ้น 2 ขีด หมายถึง มีโอกาสตั้งครรภ์สูง แต่หากมีเส้นขึ้นเพียงแถบเดียวนั่นหมายถึงไม่ได้กำลังตั้งครรภ์
ตรวจผ่านห้องปฏิบัติการ
การตรวจครรภ์ผ่านห้องปฏิบัติการมีวิธีการที่คล้ายคลึงกับการตรวจด้วยตนเอง ทั้งแบบจุ่มหรือแบบหยด แต่จะเป็นการตรวจที่ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญและใช้เครื่องมือที่ทันสมัย อีกทั้งยังสามารถอ่านค่าได้ค่อนข้างละเอียด ทำให้ผลการทดสอบมีความแม่นยำและรวดเร็วกว่าการตรวจด้วยตนเอง
ตรวจเลือด
การเจาะเลือดเป็นวิธีการทดสอบการตั้งครรภ์ที่ได้ผลที่แม่นยำมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการทดสอบรูปแบบอื่น เพราะเป็นวิธีที่แพทย์ใช้ค้นหาฮอร์โมนในสารคัดหลั่งอย่าง เลือด และสำหรับครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 2 สัปดาห์ก็จะสามารถพบฮอร์โมนบางตัวได้แล้ว จึงเป็นวิธีที่เหมาะกับผู้หญิงมีบุตรยาก เคยมีประวัติการแท้ง หรือผู้ต้องการรู้ผลการตั้งครรภ์อย่างรวดเร็ว
ตรวจอัลตราซาวด์
การตรวจอัลตราซาวด์เพื่อตรวจทารกในครรภ์ เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นผ่านการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงไปยังเนื้อเยื่อบริเวณท้อง และสะท้อนกลับมากลายเป็นภาพให้เราได้เห็นบนหน้าจอ การตรวจครรภ์ด้วยวิธีการนี้ นอกจากจะช่วยยืนยันได้ว่าผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์แล้ว ยังเป็นการตรวจความสมบูรณ์ของทารกภายในครรภ์ได้อีกด้วย รวมไปถึงยังทำให้เราได้ทราบถึงข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม เช่น
- อายุครรภ์
- ขนาดทารก
- เพศ (หลังจากอายุครรภ์เกิน 4 เดือน)
- ตำแหน่งการตั้งครรภ์
- จำนวนทารกภายในครรภ์
- คัดกรองความพิการ
- ภาวะผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
สรุป
การตรวจครรภ์ที่รวดเร็วมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการซื้อชุดทดสอบครรภ์มาใช้งานด้วยตนเอง เพราะคุณไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังสถานพยาบาลและรอผลตรวจ หากว่าเมื่อคุณตรวจพบการตั้งครรภ์แล้ว คุณก็ยังควรเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจและทำการฝากครรภ์เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย
แต่สำหรับบางคนอาจไม่ได้ต้องการครรภ์ และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์อาจส่งผลกระทบทั้งตัวคุณพ่อ คุณแม่ และลูกที่กำลังจะเกิดขึ้นมาในอนาคต ดังนั้นเราควรมีวิธีป้องกันด้วยการใส่ถุงยางอนามัย การรับประทาน ยาคุม หรือการคุมกำเนิดแบบอื่นๆ
หากใครที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีอาการแพ้ท้อง หรือสงสัยว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ การตรวจครรภ์ผ่านชุดทดสอบ เป็นวิธีที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเองเพียงแค่ซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์จากร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา หรือสำหรับคนที่ไม่มีเวลา สามารถใช้บริการของทาง MedCare เรามีเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญที่ยินดีให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการคุมกำเนิด การตรวจครรภ์ หรือช่วยรักษาอาการป่วยเบื้องต้น พร้อมบริการซื้อสินค้าในร้านขายยาใกล้บ้านภายใน 1 ชั่วโมง เพียงแค่แอด LINE https://bit.ly/medcare-miniapp-blog หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://medcare.asia/