มีตุ่มขึ้นบนอวัยวะเพศหญิง อาจเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนต้องกังวลใจ เพราะเป็นส่วนของร่างกายที่มีความบอบบาง อ่อนโยน และต้องการการดูแลใส่ใจเป็นพิเศษ คุณผู้หญิงจึงต้องหมั่นสังเกตอยู่เสมอว่ามีความผิดปกติ หรืออาการไม่พึงประสงค์หรือไม่ หากพบความผิดปกติควรเข้าพบแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาก่อนที่โรคต่างๆ จะรุนแรงจนเกินรับมือ
มีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง ? รักษาได้อย่างไร ?
สาเหตุที่ทำให้คุณผู้หญิงมีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศ เกิดจากปัจจัยหลากหลายอย่าง ทั้งการติดเชื้อ การอักเสบ หรือการติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์
1. ต่อมบาร์โธลินอักเสบ
ต่อมบาร์โธลินอักเสบ หรือฝีบริเวณอวัยวะเพศหญิงเป็นอาการผิดปกติที่สามารถพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยอาการทั่วไปคือ ปวดบริเวณแคมด้านในอวัยวะเพศ สามารถคลำตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิงได้ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นมีหนองไหลจากอวัยวะเพศ
วิธีรักษา
วิธีการรักษาอาการต่อบาร์โธลินอักเสบที่แพทย์มักเลือกใช้คือ ผ่าระบายหนองและเย็บผนังต่อมบาร์โธลินกับชั้นผิวหนัง เพื่อให้ตุ่มหนองดังกล่าวเปิดออก ไม่อุดตัน และป้องกันการอักเสบเพิ่มเติม ซึ่งการรักษาดังกล่าวมักทำควบคู่ไปกับการรับยาฆ่าเชื้อแบบฉีดหรือรับประทาน และยาแก้อักเสบลดปวดบวม
2. ขนคุดหรือต่อมไขมันอักเสบ
สำหรับสาวๆ ที่มีตุ่มนูนสีขาวขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีสาเหตุจากต่อมไขมันที่อวัยวะเพศอักเสบได้เช่นกัน โดยมีทั้งตุ่มนูนเพียง 1 เม็ด หรือหลายเม็ดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกัน มักไม่มีอาการเจ็บปวด ไม่อันตราย อาจบวมแดงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
วิธีรักษา
ขนคุมหรือต่อมไขมันอักเสบบริเวณอวัยวะเพศหญิง สามารถรักษาเบื้องต้นได้ด้วยการทายาแก้อักเสบ เช่น ครีม Hydrocortisone หรือประคบร้อนเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่ถ้าหากอาการเหล่านี้ไม่ดีขึ้น ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาที่เหมาะสม
3. ติดเชื้อรา
การติดเชื้อราแคนดิดา (Candida albicans) ในช่องคลอด ซึ่งโดยปกติแล้วเชื้อราชนิดนี้จะอาศัยอยู่ในร่างกาย เช่น ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะอยู่แล้ว แต่สามารถเติบโตจนส่งผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาวได้หากมีปัจจัยเข้ามากระทบเพียงพอ เช่นการได้รับ ยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะ มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ได้รับการบำบัดด้วยฮอร์โมนที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย หรืออาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมีอาการดังนี้
- คันระคายเคืองอวัยวะเพศ
- มีผื่นขึ้นบริเวณปากช่องคลอด
- ตกขาวผิดปกติ เป็นก้อนหนา ไร้กลิ่น
- ช่องคลอดบวมแดง
- เจ็บแสบช่องคลอดขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์
วิธีรักษา
การรักษาอาการตุ่มบนอวัยวะเพศหญิงจากการติดเชื้อราทำได้ด้วยการใช้ยา 2 ประเภท คือ
- กลุ่มยาต้านเชื้อรา ที่ใช้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เช่น ไมโคนาโซล (Miconazole) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) และเทอโคนาโซล (Terconazole) ซึ่งมีทั้งครีม เจล ยาเม็ด ยาเหน็บ สามารถกำจัดเชื้อราได้ใน 3-7 วัน ทำให้เหมาะสมกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไม่รุนแรง
- ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) หรือยาช่วยรักษาอาการติดเชื้อแบบรุนแรง โดยผู้ป่วยสามารถรับประทานเพียงครั้งเดียว อาจรับประทานครั้งละ 2 เท่า ระยะเวลาห่างกัน 3 วัน แต่ยาประเภทนี้อาจมีความอันตรายกับทารกได้ ผู้ป่วยตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยง
4. โรคเริม
เริมเป็นโรคที่เกิดจากไวรัส Herpe Simplex Virus หรือ HSV สามารถติดต่อได้หลากหลายช่องทาง ทั้งการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การคลอดลูกโดยธรรมชาติ การสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย หรือการใช้ของร่วมกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งอาการของผู้ป่วยโรคเริมเกิดได้ใน 2-12 วันหลังติดเชื้อ คือ
- มีตุ่มสีแดงขึ้นที่อวัยวะเพศ
- เกิดแผลพุพอง
- ผิวหนังลอก
- มีอาการปวดหรือคันบริเวณอวัยวะเพศ
วิธีรักษา
สำหรับการรักษาโรคเริมคือ การใช้ยาต้านไวรัส HSV เช่น วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ไมโคนาโซล (Miconazole) เทอโคนาโซล (Terconazole) ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) และอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir)
5. โรคหิด
โรคหิด เป็นปฏิกิริยาแพ้ที่ร่างกายมีต่อตัวไรชนิดหนึ่ง นับเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยอาการทั่วไปของโรคหิดคือ มีตุ่มน้ำขนาดเล็กและระคายเคืองอย่างรุนแรงทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น มือ ข้อพับ รักแร้ บั้นท้าย เอว รวมไปถึงอวัยวะเพศ
วิธีรักษา
โรคหิด สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานยา หรือใช้ยาทาที่แพทย์สั่ง ได้แก่
- พอร์เมทริน (Permethrin) ครีมที่มีฤทธิ์เพื่อฆ่าตัวไรและไข่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค มีความปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์และเด็กอายุตั้งแต่ 2 เดือน
- ไอเวอร์เม็กติน (Ivermectin) ยารับประทานชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์กำจัดพยาธิและตัวไรในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาทาแล้วยังไม่หาย แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ผู้ป่วยตั้งครรภ์และเด็กที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 15 ปี ไม่ควรใช้
- โครตาไมตอน (Crotamiton) ยาทารักษาโรคหิดในรูปแบบครีมและโลชั่น ใช้วันละ 1 ครั้ง และควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจใช้
6. โรคหูดหงอนไก่
โรคหูดหงอนไก่ (Genital warts) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถพบได้มากเช่นเดียวกับโรคเริม มีที่มาจากเชื้อไวรัส Human papillomavirus หรือเรารู้จักกันในชื่อ HPV โดยอาการของโรคหูดหงอนไก่ในผู้หญิง ได้แก่ มีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง อวัยวะเพศบวม มีอาการคัน และมีเลือดออกจากช่องคลอด
วิธีรักษา
ยารักษาโรคหูดหงอนไก่ มีทั้งหมด 4 ประเภท ดังนี้
- โพโดฟิลลิน (Podophyllin) ยารับประทานที่มีฤทธิ์ในการทำลายเนื้อเยื่อหูด มีความอันตรายต่อผู้ป่วยตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร เพราะสารเคมีบางอย่างอาจส่งต่อผ่านน้ำนมได้
- อิมิควิโมด (Imiquimod) ยาทารักษาตุ่มนูนบริเวณอวัยวะเพศ โดยเพิ่มภูมิคุ้มกันเพื่อให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสหูดได้
- กรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic Acid) ยาทารักษาหูหงอนไก่ผ่านการกัดกร่อนและกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ไม่ต้องการ อาจมีผลข้างเคียงให้ผู้ป่วยระคายเคืองผิวหนังได้
- ไซนีคาเทชิน (Sinecatechins) ครีมสำหรับรักษาตุ่มนูน มีผลข้างเคียงให้ผิวหนังรู้สึกแสบร้อนและแดงเล็กน้อย
7. โรคหูดข้าวสุก
โรคหูดอีกหนึ่งประเภทที่เกิดจากเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum Virus ทำให้เกิดตุ่มทั่วร่างกาย รวมไปถึงอวัยวะเพศ อาการของโรคดังกล่าวแบ่งเป็น
- ตุ่มมีสีขาว ชมพู หรือเนื้อ พร้อมรอยบุ๋มตรงกลางเล็กน้อย
- มีอาการเจ็บ แสบ คันบริเวณอวัยวะเพศ
วิธีรักษา
สำหรับการรักษาหูดข้าวสุก แพทย์มักให้ยาทั้งหมด 4 ชนิดเช่นเดียวกับการรักษาโรคหูดหงอนไก่ คือ โพโดฟิลลิน (Podophyllin) อิมิควิโมด (Imiquimod) กรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic Acid) และไซนีคาเทชิน (Sinecatechins)
8. ผิวหนังอักเสบจากการระคายเคือง
หากผู้หญิงใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ ไม่ว่าจะเป็น สบู่ น้ำมันหอมระเหย หรือโลชั่นทาตัว อาจทำให้สารเคมีเหล่านี้สัมผัสกับอวัยวะที่มีความบอบบางเป็นพิเศษ จนเกิดการอักเสบ ระคายเคือง มีผื่น หรือมีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิงได้เช่นกัน
วิธีรักษา
การรักษาตุ่มจากการอักเสบบริเวณอวัยวะเพศหญิง สามารถทำได้ด้วยการใช้ยาสเตียรอยด์ 2 รูปแบบคือ
- ยาทาเฉพาะที่ ผู้ป่วยควรใช้ยาดังกล่าววันละ 1-2 ครั้งยาวนาน 2 สัปดาห์ เพื่อบรรเทาผื่นคัน
- ยารับประทาน เพื่อบรรเทาอาการคัน และกำจัดแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของตุ่มบนอวัยวะเพศ
นอกเหนือจากโรคที่ระบุไปข้างต้นซึ่งสามารถพบได้ทั่วไปแล้ว การมีตุ่มขึ้นบริเวณอวัยวะเพศหญิงอาจมีผลกระทบอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดความรำคาญ ความไม่มั่นใจ ไม่สบายใจ ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีโอกาสพบเจอโรคอันไม่พึงประสงค์อื่นๆ ได้อีก จึงขอเน้นย้ำว่าหากเกิดอาการแปลกๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาอย่างตรงจุด
วิธีป้องกัน มีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง
การรักษาตุ่มบนอวัยวะเพศอาจต้องใช้ระยะเวลานาน เพื่อให้ผู้ป่วยมั่นใจว่าตุ่มดังกล่าวจะไม่กลับมาอีกครั้ง คุณสามารถป้องกันตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส
- ป้องกันตัวไรด้วยการทำความสะอาดสิ่งของที่ใช้ เช่น ผ้าห่ม ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัว
- ล้างอวัยวะเพศจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- สวมกางเกงในที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป และเลือกกางเกงในที่ช่วยระบายอากาศได้ดี
- ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีในการทำความสะอาดอวัยวะเพศหญิง
- ทำความสะอาดกางเกงในเป็นประจำ
- ในช่วงที่มีประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อรักษาความสะอาด
- หากมีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง หลีกเลี่ยงการสัมผัสตุ่มดังกล่าว
- ไม่เกาอวัยวะเพศ เพื่อป้องกันแผลซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายติดเชื้อแบคทีเรียและการแพร่กระจาย
สรุป
คุณควรหมั่นสังเกตร่างกายของตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถรู้เท่าทันโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ และหากคุณสังเกตว่า มีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง ควรรีบไปพบแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้พวกเขาได้วินิจฉัยสาเหตุที่ถูกต้อง และช่วยรักษาตุ่มดังกล่าวอย่างรวดเร็วที่สุด
MedCare พร้อมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการคำปรึกษาและแนะนำที่ถูกต้อง เพราะเรามีเภสัชกรซึ่งมีความเชี่ยวชาญและพร้อมให้คุณได้มั่นใจว่าจะสามารถรักษาตุ่มดังกล่าวได้อย่างตรงจุด เพียงแค่แอด LINE https://bit.ly/medcare-miniapp-blog หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://medcare.asia/